“เศรษฐา” สัมมนาพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ ย้ำขึ้นค่าแรงควบคู่เพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการ(ไฮไลท์)
“เศรษฐา” เดินทางมาสัมมนากับทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดแพร่ กับสองภารกิจ แก้ไขปรับปรุงการเลือกตั้ง ส.ส.ในครั้งต่อไป และ รับทราบปัญหาของภาคธุรกิจเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดแพร่ เตรียมขึ้นค่าแรงพร้อมกับเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการ
เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 19 มิถุนายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาเป็นประธาน สัมมนาแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ พร้อมด้วย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่เขตเลือกตั้งที่ 3 พรรคเพื่อไทย นายแพทย์นิยม วิวรรธนดิษฐกุล ส.ส.แพร่ เขต 2 พรรคเพื่อไทย ที่ โรงแรมแพร่นครา ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่
ได้มีการเชิญ นายอนุวัธ วงศ์วรรณ นายก อบจ.แพร่ นายเอกชัย วงศ์วรกุล ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าจังหวัดแพร่ หอการค้าจังหวัดแพร่ อุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ ตัวแทน กลุ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมสัมมนาเพื่อนำปัญหาข้อขัดข้องของกลุ่มและองค์กรต่างๆในพื้นที่จังหวัดแพร่ ดำเนินการแก้ไขหลังจากที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
นายเศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวว่า มาวันนี้ในฐานะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ปรึกษาคุณแพทองธาร ชินวัตร และได้รับมอบหมายจากทางพรรคเพื่อไทยเพื่อมาทำการแก้ไขปรับปรุงของการเลือกตั้งในครั้งต่อไป ปรับโครงสร้างภายในพรรค ซึ่งวันนี้ก็เป็นจังหวัดที่สอง เมื่อเช้าไป จ.น่าน มา แล้วมา จ.แพร่ เป็นครั้งแรกที่เดินทางออกนอกพื้นที่ จะสังเกตเห็นว่า ผมเดินสายมาเพื่อมารับฟังปัญหาจริงๆ ไม่ใช่มาเพื่อขอบคุณหรือสร้างกระแสนิยม ตรงนี้จะเป็นวิธีการทำงานใหม่ของพรรคเพื่อไทย โดยจะมีผู้ใหญ่ของพรรคจะไปทุกๆจังหวัดและอาจจะมาซ้ำอีกก็ได้ หรือเมื่อวันนี้ได้รับฟังปัญหาแล้วอาจจะมีคณะกรรมการย่อย เข้ามาคุยกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผังเมือง เรื่องของเกษตร เรื่องของการท่องเที่ยว เพื่อที่จะเขียนขั้นตอนการทำงานจริงๆขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาจริงๆไม่ใช่แค่มารับฟังแล้วเดินจากไป แล้วก็อีกสามปีครึ่งก่อนการเลือกตั้งค่อยมาใหม่ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น คิดว่าวิธีอย่างนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง การเดินทางครั้งต่อไปของพรรคเพื่อไทย ก็จะเป็นแบบนี้ทำลักษณะนี้ ควบคู่ไปในทุกๆจังหวัด
ส่วนค่าแรงนี้ ต้องบอกไว้ถ้าไม่ขึ้นให้เขาผมบอกได้ว่าคราวหน้าคุณวรวัจน์คงไม่ได้กลับเข้ามานั่งเป็น ส.ส.แต่ว่าขึ้นจะค่าแรงอย่างเหมาะสมและต้องเพิ่มรายได้คู่ขนานไป เพราะฉะนั้นหากเราเพิ่มค่าแรง เป็นเป็น 450 หรือ 400 บาท ก็ตามที ถ้าหากรายได้ไม่ขึ้นผมเห็นใจและเข้าใจว่าผู้ประกอบการจะไม่สามารถอยู่ได้ แต่ในมิติเดียวกันถ้าเกิดค่าแรงไม่ขึ้นให้เขาคนทำงานก็จะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวก็เป็น สำคัญ เรื่องของสนามบินก็เป็นเรื่องสำคัญผมใช้คำนี้บ่อย คือไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ สนามบินจะมาได้ก็จะต้องมีสถานที่ท่องเที่ยวจะต้องมีธุรกิจ ถ้าเกิดสนามบินมาแล้วโรงแรมมีอยู่ 2,000 ห้อง เพิ่มเที่ยวบินมาก็ไม่มีประโยชน์ ถ้า จ.แพร่เกิดไม่ได้รับการยกให้เป็นมรดกโลก สายการบินเขาจะมาไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมาพูดคุยกัน เรื่องเหล่านี้ที่ต้องทำคู่ขนานกันไป คือต้องพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวในแพร่ให้หลากหลายยิ่งขึ้น จากการดูตามบูตต่างๆ จากการรับฟังจากผู้จำหน่ายสินค้าทั้งหลาย เชื่อว่าจังหวัดแพร่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงมาก เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ว่าจะต้องทำอะไรให้มากขึ้น ตกใจเหมือนกันที่เจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวและกีฬามีอยู่เพียงสามคน ดังนั้นการเขียนงบประมาณต่างๆคงเขียนได้ลำบาก เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่หมักหมมมานานแล้วก็ต้องได้รับการแก้ไขอย่างฉับพลัน
เรื่องของการท่องเที่ยว เรื่องของเมืองรอง เราอยากให้นักท่องเที่ยวมาอยู่นานๆ อันนี้เป็นนโยบายหลักของการท่องเที่ยวทั่วโลก สังเกตคนไปเที่ยว ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ไม่ได้ไปสามสี่วัน เขาไปที 12 วันบ้าง 10 วันบ้าง ยิ่งยาวก็ไม่ได้เป็นภาระกับโครงสร้างพื้นฐานสนามบินไม่ต้องขยายก็ได้ สนามบินสุวรรณภูมิ นักท่องเที่ยวถ้ามาจริงจะมาอยู่ 3.7 วันต่อเที่ยว ผมเชื่อ 10 วันจะเป็นประโยชน์มากกว่า และไม่ใช่มาแค่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน กรุงเทพ ถ้ามาก็มาเมืองรองอย่าง เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองสุโขทัย ผมเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่สนับสนุนตรงนี้ให้เต็มที่ จังหวัดแพร่มีหลายปัจจัยที่ดูแล้วน่าสนใจ และที่มีเหตุมีผลที่เป็นเมืองมรดกโลกได้เป็นเรื่องที่ดีควรได้รับการสนับสนุนแต่ว่าธุรกิจมันเล็กมากไม่มีการขยายตัวโรงแรม สนามบิน ไม่มีการขยาย ตรงนี้มันเป็นคอขวดหนึ่ง ซึ่งทำให้มันไม่สามารถเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ โดยที่ท่านบอกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเราหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลยยกเว้นการท่องเที่ยว แต่วันนี้ไปดู สนามบินสุวรรณภูมิ เข้ามาถึง วีซ่า คนจีน คนอินเดีย คิวยาวเหยียดใช้เวลากว่าสองชั่วโมง แล้วต้องมีการตรวจคนเข้าเมือง คอยแท็กซี่ใช้เวลานานอีกเท่าไหร่ ประสบการณ์ครั้งแรกเข้ามาประเทศไทยก็ไม่ประทับใจแล้ว
อย่างเมื่อช่วงเช้าไป จ.น่าน มาบอกว่าค่าเครื่องบินแพงมาก จากน่านไป กรุงเทพ จะแพงกว่า จากกรุงเทพ ไปสิงคโปร์อีก เพราะมีสายการบินเดียวบินอยู่ สมัยก่อนเคยมีบิน 8 ทิศ 8 เที่ยว ตอนนี้แพร่ เคยมีก็ไม่มี ไม่ได้หมายความว่าไม่มีนักท่องเที่ยวเพียงแต่ว่าเครื่องบินเขานี่ไม่พอเพราะช่วงโควิดที่หยุดไปสองปีนั้นเขาส่งคืนเครื่องบิน นักบินก็มีไม่เพียงพอต้องกลับไปรีเทรนใหม่ รีทรู ใหม่ เพราะฉะนั้นเขามีขีดจำกัดในการทำตรงนี้ ผมว่าถ้ามีการเจรจาสนามบินเล็กที่แพร่ไม่มีไฟ ถ้าเกิดขยายแล้วก็ต้องมีไฟด้วย และจะบินกลางคืนได้ด้วย ตรงนี้ผมเชื่อว่าให้เวลาเป็นตัวแก้ไขปัญหาส่วนหนึ่งดีกว่า เพราะว่าตอนนี้การท่องเที่ยวกลับมาบูมมาก เชื่อว่าเครื่องบินมีจำนวนจำกัดเพราะเขาเอาเครื่องบินไปหากำไรกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ราคามากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดผลักดันเรื่องเหล่านี้
ส่วนเรื่องของความมั่นคงทางด้านอาหารเป็นเรื่องของความมั่นคงของมนุษย์ ยังมีอีกหลายๆประเทศที่ยังไม่มีอาหารกิน และเราเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหารสูงมาก เพราะฉะนั้นเราบริหารจัดการเรื่องน้ำให้ดีไม่ท่วม ไม่แล้ง และมีเรื่องของการยืดอายุเรื่องอาหาร การจัดเก็บ การบริหารจัดการในเรื่องของการขนส่ง เชื่อว่าจะทำรายได้ให้กับพี่น้องคนไทยอย่างมโหฬาร เรื่องนี้จะควบคู่กับเรื่องของการท่องเที่ยวด้วย เรื่องของปุ๋ย ได้เดินทางไปทั่วประเทศ เรื่องปุ๋ยเคมีเป็นปัญหาใหญ่ วิกฤตของยูเครน รัสเซีย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาปุ๋ยแพง และต้องพึ่งเรื่องของราคาน้ำมันอีก แต่ประเทศไทยเรามีผู้ชำนาญการเยอะทำปุ๋ยอินทรีย์ได้ถูกกว่าช่วยได้ และนวัตกรรมเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ของการเกษตรให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่ให้ความสำคัญ