สังคมเมืองแพร่………โดย “สนต้องลม”
สังคมเมืองแพร่
………ที่ว่าจะฮ็อตและน่าสนใจที่สุดในขณะนี้คือ เรื่องของการขยายท่าอากาศยานแพร่ ที่ถึงเวลาที่เราจะต้องมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของการเดินทางทางอากาศ เพราะว่าท่าอากาศยานแพร่ เป็นท่าอากาศยานแห่งแรกๆของประเทศ มีการก่อสร้างมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกเป็นต้นมา และหลังจากนั้นก็ไม่มีการพัฒนาอะไรอีกเลย……….พอมาในปี 2564 ต่อเนื่องมาถึงปี 2565 ได้มีการจับเรื่องขยายท่าอากาศยานแพร่ออกมาปัดฝุ่นกันอีกครั้ง แต่ปรากฎว่าได้มีการขานรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องประชาชน และหน่วยงานราชการหรือธุรกิจของเอกชนในพื้นที่จังหวัดแพร่
……….แต่ที่ตามมาก็คือมีเรื่องของการคัดค้านของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ต้องการให้มีความวุ่นวายในวิถีชีวิตแบบเดิม จึงไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก โดยเฉพาะโครงการใหญ่ขอรัฐบาลที่จัดให้มีขึ้นในจังหวัดแพร่…..การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก็ผ่านไปสองครั้งสองครา และคงจะมีผลสรุปออกมาอีกไม่นาน อุปสรรค์ปัญหาเท่าที่เห็นก็จะมีเรื่องของการเวนคืนที่ดิน ในเรื่องของค่าชดเชยหากมีการย้ายออกไปจากที่อยู่อาศัยเดิม อีกส่วนคือไม่เห็นด้วยที่จะมีการขยายท่าอากาศยาน แต่ไม่คัดค้านการก่อสร้างแต่ขอให้ไปสร้างในจุดอื่น เนื่องจากชาวบ้านบริเวณท้ายท่าอากาศยานแพร่จะได้รับความเดือดร้อนจากการดำเนินการขยายรันเวย์ให้มีความยาวออกไป
………..แต่ รองเสรี ทรงศักดิ์ รองนายก อบจ.แพร่ ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า เราจะอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ทุกวันนี้ คนหนุ่มสาวเมื่อเรียนจบมัธยมปลายแล้วก็จะเดินทางไปเรียนต่อในต่างจังหวัดแพร่ จบแล้วก็ทำงานในจังหวัดอื่นก็ไม่น้อย เพราะว่าจังหวัดแพร่ของเราไม่มีมหาวิทยาลัยเป็นของตนเองประการหนึ่ง การขยายท่าอากาศยานแพร่ จึงเป็นการพัฒนาจังหวัดและจะทำให้เกิดการสร้างงานขึ้นในจังหวัดแพร่อีกจำนวนมาก เพื่อเป้็นการรองรับคนรุ่นใหม่ที่จะกลับบ้านมาทำงานในภูมิลำเนาของตัวเอง
…….. อีกเรื่องก็คงเป็น รถไฟสายเด่นชัย เชียงราย เชียงของ ที่จะเริ่มมีการขยับการก่อสร้างในปีนี้แล้ว ทุกอย่างก็เดินหน้า ยังไม่มีข่าวคราวว่ามีปัญหาในเรื่องใด คาดว่าน่าจะมีการดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ต้องรอคอยกันมานาแสนนาน
…………ที่เหมืองแบไรท์ ที่ อ.ลอง ก็ดูจะมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่จะยุติว่า จะเดินไปทิศทางใดบ้าง เรื่องนี้อยู่ที่ สมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ที่จะเป็นประธานคณะกรรมการจัดทำประชามติ เพราะว่าชาวบ้านที่เอาและไม่เอาว่าจะนิ่งแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่า หลังจากนั้นแล้ว ผลลงเอยอย่างไร ขณะที่ส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกเห็นใจทุกฝ่าย ขณะที่ ติรานนท์ เวียงธรรม ที่ปรึกษากรรมมาธิการการมีส่วนร่วมสภาผู้แทนราษฎร และ อำนวย พลหล้า ที่ปรึกษากรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้านสิ่งแวดล้อม อำนวย พลหล้า ได้ลงพื้นที่แล้วเราจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในอีกไม่ช้า
…….หากจะกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ในพื้นที่จังหวัดแพร่แล้ว เห็นแล้วน่าตกใจไม่น้อยเหมือนกันเพราะเยอะจนกระทั่ง จะต้องมารักษากันในที่พักของตนเอง บางที่ครอบครัวหนึ่งพอป่วยแล้ว แต่มีสมาชิกในครอบครัวบางรายก็ออกมาเพ่นพ่านในสังคม และเป็นอย่างนี้ไม่น้อย จะทำอย่างไรกันดี ดูท่าทีจำนวนผู้ติดเชื้อคงจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วที่บอกว่าเชื้อไม่แรงแต่มีการติดต่อและตายกันเยอะๆอย่างนี้ จะให้ชาวบ้ารนเชื่อได้อย่างไร
……..เหตุผลในการให้เป็นโรคประจำถิ่น ถ้าให้เดาก็เพราะว่าเหตุผลที่ภาคธุรกิจใหญ่ๆที่จะต้องดำเนินการต่อไป เพราะเป็นของกลุ่มทุนที่ผูกขาดระดับประเทศและระดับจังหวัดก็เป็นส่วนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว แบบนี้จึงทำให้เกิดการขับเคลื่อนของภาคธุรกิจบ้านเราจึงน่าจะเรียกได้ว่าเป็นแบบโอลด์นอรมอลภาคธุรกิจโบราณ เพื่อพยุงกิจการการค้าขายแบบโบราณที่โลกทั้งโลกเขาหันหลังให้ไปหมดแล้ว แต่อย่างน้อยการทำธุรกิจแบบนี้ และเปิดให้มีการจับจ่ายใช้สอยอย่างนี้ แม้ว่าจะมีแพร่ระบาดและมีคนตายจำนวนมาก แต่ว่า ผลที่ดีคือธุรกิจแบบโบราณ ก็พออยู่รอดไปได้สักระยะก่อนที่จะล้มบนฟูกโดยที่มีมาตรการของระเบียบต่างที่จะมีการเมคขึ้นในภายภาคหน้าขึ้นมารองรับ ส่วนชาวบ้านมีแต่ตายกับตายอย่างเดียว…….
“สนต้องลม”