ฝากถึงผู้ว่าฯแพร่คนใหม่ กับเมืองที่มีการบริหารจัดการแบบเป็ด
ฝากถึงผู้ว่าฯแพร่คนใหม่ กับเมืองที่มีการบริหารจัดการแบบเป็ด
คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่คนใม่ยังไม่ออกมา แต่ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ก็จะมีคำสั่งว่าท่านใดจะได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่คนใหม่ แต่สิ่งที่จะฝากถึงผู้ว่าคนใหม่ที่จะต้องดำเนินการในเรื่องที่ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะมีการดำเนินการพอจะแบ่งเป็นเรื่องๆได้ดังต่อไปนี้
เรื่องที่ 1.สิ่งที่ชาวแพร่ ได้มองไปข้างหน้าถึงการร่วมงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ สิ่งที่มองเป็นสิ่งเร่งด่วนคือ นักบริหารจัดการในด้านเศรษกิจ ในการนำมาติดตามสถานะการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ รวมถึงระดับจังหวัด ที่กล่าวถึงไม่ได้หมายถึงพ่อค้า แต่เป็นนักบริหารที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการและรายงาน ประเมินความเคลื่อนไหวทางด้านเศรษฐกิจทุกด้านของจังหวัดแพร่
รวมถึงการคอนเนกชั่นหรือการเชื่อม กับ โครงการถไฟ โครงการขยายท่าอากาศยานแพร่ โครงการถนนสายพหลโยธินเชื่อมการคมนาคมระหว่างจังหวัด ภูมิภาค และประเทศ ว่าชาวแพร่จะได้ประโยชน์อะไรบ้างรวมถึงสถานะการการค้าโชว์ห่วยหรือการค้าปลีก และสถานะการพืชผลทางการเกษตร สิ่งเหล่านี้เหล่านี้ขาดหายไป เรามีพ่อค้า เราผู้รับเหมา แต่เราไม่มีนักเศรษฐศาสตร์
เรื่องที่ 2. คือสร้างภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็ง เพราะว่า ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่หลายท่านได้ ได้สร้างสนับสนุนภาคประชาสังคม หรือกลุ่มอนุรักษ์เมืองเก่าแพร่ที่มีความเข้มแข็ง จนสามารถผลักดันและอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและเรื่องราวของเมืองแพร่ไว้อย่างดีเยี่ยม จนกระทั่งได้มีการประกาศให้มีเมืองเก่าแพร่ โดยคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินและเมืองเก่า ถือว่าเป็นความสำเร็จ ภาคประชาสังคมหรือกลุ่มอนุรักษ์ ได้มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มนักวิชาการมหาวิทยาลัยต่างๆเป็นจำนวนมาก และถือว่าได้มีการอนุรักษ์เมืองเก่าแพร่ และทำให้มีการจัดตั้งและมีการประชุม คณะกรรมการเมืองเก่าแพร่ ได้ ได้มีความเหนือกว่า กลุ่มทุนและกลุ่มเทคโนโลยี่ ที่มักมีมุมมองว่า กำแพงเมืองเก่าแพร่ เป็นเพียงกองดินเท่านั้น
แต่ครั้นนั้นก็ตามต่อมา กลับกลายเป็นว่า การเชื่อมต่อระหว่างภาคประชาสังคมกับกลุ่มอนุรักษ์ กับ นักวิชาการต่างๆ แปรเปลี่ยนไปกลายเป็น เป็นกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มทุน กลุ่มเทคโน เข้าไปสวมแทนกลุ่มภาคประชาสังคมเดิม แล้วเข้าไปเชื่อมกับกลุ่มนักวิชาการในด้านประวัติศาสตร์ของมหาลัยและสถาบันต่างๆ และผลักกลุ่มอนุรักษ์หรือภาคประชาสังคมไปเป็นกลุ่มขัดขวางการอนุรักษ์เมืองเก่าแพร่ แทน แล้วก็สร้างวาทกรรมต่างๆขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นใหม่ๆเข้าใจว่าสิ่งต่างเหล่านี้ตนเองได้ทุ่มเทและรักษาไว้ให้คนรุ่นหลัง ส่วนภาคประชาสังคมที่ดำเนินการอนุรักษ์มาจนเกิดความสำเร็จก็ถูกผลักดันออกไป ส่งผลทำให้จังหวัดแพร่ เกิดช่องโหว่ที่จะเรียกว่า เป็นเมืองของการบริหารงานแบบเป็ดหรือ คนๆเดียวเก่งไปทุกเรื่อง แต่มีเรื่องเดียวที่ไม่เก่งคือเรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
หากมามองทัศนะคติต่อการอนุรักษ์ระหว่างนักธุรกิจ กับนักวิชาการ โดยส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ นักวิชาการจากมหาลัยนั้นจะมีจะเป้าหมายที่แตกต่างตัน ขณะที่ สภาเมืองเก่า ต่อมาก็มีการพัฒนาไม่ต่างจากสภาผู้รับเหมา ตรงนี้คงต้องฝากให้ ผู้ว่าราชการคนใหม่จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนถูกต้องให้เกิดขึ้น
เรื่องที่ 3 จังหวัดแพร่จะต้องสร้างผู้บริหารจัดการทางด้านเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ เพื่อวางนักบริหารรุ่นใหม่ๆขึ้นมา เพื่อให้สร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจังหวัดและวิเคราะห์ติดตาม เพราะว่าที่ผ่านมา เรามีแต่พ่อค้าหรือนักปฎิบัติ แต่หาผู้บริหารเศรษฐกิจไม่มี พอมีโครงการใหญ่ๆเราแทบจะไม่มีคอนเนคชั่นกับ เหล่าผู้บริหารโครงการใหญ่ๆที่เกิดขึ้นในจังหวัดเลย ทำให้เกิดลักษณะแม่ปูกับลูกปู คือเดินไม่ตรงตามที่คาดหวังไว้ ทำให้คนรุ่นใหม่ๆมองว่าไม่มีอนาคต เพราะภาพที่ออกมาส่วนใหญ่ในภาคธุรกิจของเราจะเปรียบเป็นเพียง ช่างซ่อมรถเท่านั้น แต่ไม่ใช่ผู้บริหารร้านซ่อมรถ ก็เหมือนกับ เจ้าของร้านอาหาร ลงไปร้องเพลงเล่นดนตรีเอง เพราะคิดว่านักดนตรีนักร้องเล่นไม่ดีและรู้สึกว่าตนเองก็ไม่มีความรู้ด้านบริหาร เหตุผลที่ร้านอาหารแย่เพราะว่านักดนตรีเล่นไม่ดี กุ๊กทำอาหารไม่อร่อย พนักงานเสิฟต้อนรับไม่ดี นักร้องร้องเพลงไม่เพราะ ดังนั้นต้องลงไปทำเองทั้งหมด
เรื่องที่ 4 ความชัดเจนเรื่องของผ้าหม้อห้อม ที่ให้มีการสวมใส่ทั้งนักเรียน บริษัทร้านค้า หน่วยงานราชการ เอาแค่ลองคิดนะ ว่า นักเรียนพิริยาลัย โรงเรียนนารีรัตน์ วิทยาลัยเทคนิคแพร่ และ วิทยาลัยอาชีวศึกษา หากใส่ทุกคน จะเป็นจำนวนเท่าไหร่ ถ้ารวมกับบริษัทร้านค้า หน่วยงานสถาบันการศึกษาอื่นๆทั้งจังหวัด มันจะเป็นจำนวนผ้าหม้อห้อมจำนวนมากมายมหาศาล ผลประโยชน์เหล่านี้ไปตกอยู่ที่ใคร? ชาวบ้านได้ผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ในส่วนนี้จะต้องมีความชัดเจน เพราะหากไม่มีความชัดเจนก็จะกลายเป็นการแปรงบผันเข้ากระเป๋าตัวเองก็อาจจะทำให้เกิดความสงสัยเช่นนี้ตามมาได้ ? ดังนั้นน่าจะโยกงบประมาณในการสนับสนุนให้เทศบาลตำบลทุ่งโฮ้ง ดำเนินการทั้งหมด น่าจะดีกว่า หากภาครัฐมาดำเนินการอาจจะมีความเข้าใจต่างกับท้องถิ่นที่เขาเข้าใจในเรื่องผ้าหม้อห้อมดีกว่า ลึกซึ้งกว่า
หมายเหตุ บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวและมีเจตนาเพื่อการพัฒนาจังหวัดแพร่ ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์หรือมีอคติต่อผู้หนึ่งผู้ใดเป็นการส่วนตัว เพราะใช้หลักของเหตุและผลในการวิพากจ์ ผู้อ่านไม่จำเป็นจะต้องเชื่อในบทความนี้ทั้งหมดแต่หากส่วนไหนเป็นส่วนที่เห็นว่าถูกต้องก็โปรดเรนแรงผลักดันความเห็นของผู้เขียนเกิดความสำเร็จด้วยและหากมีประโยชน์เกิดขึ้นของให้อานิสงค์นั้นเกิดขึ้นกับผู้สนับสนุนผู้เขียนด้วย