ทำอย่างไรดี กับอาหารที่แพงขึ้น?
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนจะนำมากล่าวกันในขณะนี้คือเรื่องของอาหารที่มีราคาที่แพงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หมูปิ้ง ขึ้นจากไม้ละ 5 บาท เป็น 7 บาท คือ ถ้าซื้อ 100 บาท จะต้องเพิ่มเงินอีก 40 บาท หมายถึงขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว หรือจะค่ารถโดยสารเคยฝากของจากชิ้นละ 30 บาท แล้วก็ขึ้นเป็น 40 บาท แล้ว 50 บาท เดียวนี้จะขึ้น 60 บาทกันเลยทีเดียว เรื่องแบบนี้ก็ทำให้งุนงงไม่น้อยเหมือนกัน? ในฐานะที่เป็นผู้บริโภค เราจะตั้งต้นคิดเรื่องนี้อย่างไรว่าเราจะเห็นใจเขาหรือเห็นว่ามันเป็นการเอาเปรียบกันไปหรือไม่? มาคิดกันตรงนี้ จึงต้องยกตัวอย่างเรื่องของอาหารการกินกันก่อน หรือจะเอาไปเทียบเคียงกับเรื่องอื่นๆก็ได้เหมือนกัน
เรามาคิดอย่างนี้ ขณะที่เราไปซื้ออาหารกิน หรืออาหารเป็นจานเป็นชาม เรามาคิดว่ามีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ
1.ผู้ผลิตวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมูเป็ดไก่หรือ พืชพรรณธัญญาหารต่างๆ
2.ผู้ปรุงอาหาร หรือแม่ค้า ที่ไปซื้อมาจาก บุคคลที่ 1 หรือผู้ขายวัตถุดิบมาปรุงจำหน่าย
3.คือพวกเราๆที่เป็นผู้ซื้อกินทั้งหลาย
ความจริงแล้วก็คือว่า เมื่อ บุคคลที่ 1 คือผู้เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ ขายวัตถุดิบ คือพวกเนื้อหรือพืชผักต่างๆให้กับ บุคคลที่ 2 นั้น ทำไมบุคคลที่ 2 คือผู้ประกอบการขายอาหารจึงยังไปซื้อ ทำไมไม่ไปหาแหล่งสินค้าวัตถุดิบที่ถูกลงกว่านี้ แล้วยังผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับบุคคลที่ 3 คือผู้ซื้ออาหารหรือผู้บริโภค? โดยที่บุคคลที่ 1 และ 2 เหมือนจะสมประโยชน์กันชั่วนิรันดร์ไม่ต่างจากเสือนอนกินมานานแสนนานหรือไม่? คือไม่ดิ้นรนไม่แสวงหาหนทาง แนวทางใหม่ๆที่จะได้วัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารให้มีต้นทุนที่ต่ำลงได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสิ่งที่บุคคลที่ 3 คือผู้ซื้อหรือผู้บริโภคจะทำอย่างไร แต่ที่ปรากฎว่าในขณะนี้ ร้านอาหารหลายแห่งที่ดำเนินการขึ้นราคากับลูกค้าโดยที่สามารถหาแหล่งวัตถุดิบที่อื่นที่ทำให้ต้นทุนไม่สูงมากได้แต่ก็ไม่ทำ และก่อนหน้านั้นเคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ปรากฎว่าขณะนี้มีเหตุการที่ บุคคลที่ 3 หรือผู้ซื้อเหมือนจะบอยคอตร้านค้าที่ขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ และไม่มีการพัฒนาหาแหล่งวัตถุดิบที่ราคาไม่แพงมาผลิตเป็นอาหารสำเร็จรูปมาขายให้กับ บุคคลที่ 3 จนเกิดมีเหตุการลดการไปกินอาหารในบางร้านอาหารแล้ว เหตุผลนี้ก็คงจะแก้ปัญหาราคาสินค้าอาหารที่จะเพิ่มราคากันทั้งปีได้บ้าง ด้วยเหตุผลที่ร้านอาหารบอกผู้ซื้อแค่เพียงว่าต้นทุนสินค้าที่แพงขึ้นเท่านั้น การบอยคอตหรือการใช้หลักอหิงสาคงเป็นเพียงการแสดงออกของผู้ซื้อหรือผู้บริโภคที่เป็นความหวังเดียวที่จะกดดันเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องราคาของอาหารที่จะไม่เพิ่มมากขึ้นได้
หมายเหตุ:บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน เพื่อจะเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขราคาอาหารที่อาจจะมีราคาเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างสมเหตุสมผลและอย่างเป็นเหตุเป็นผล